Blog

Team DevelopmentMentorshipJunior Developer

อยากพัฒนาทีม ต้องมี Playground ให้เล่น?

Ratchata Nuanchan

By Ratchata Nuanchan

11 สิงหาคม 2568

อยากพัฒนาทีม ต้องมี Playground ให้เล่น?

หลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำอย่างไรให้ทีมเก่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาสมาชิกใหม่ๆ ในทีม (Junior) ให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ คำตอบอาจไม่ใช่แค่การสะสมจำนวนปีในการทำงาน แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ 3 สิ่งนี้ครับ

  • Junior มี คำถามที่ดี
  • Junior มี Mentor ที่ดี
  • Junior มี พื้นที่ให้ทดลองทำ (Playground)

ในบทความนี้ ผมอยากจะเน้นย้ำความสำคัญของข้อที่ 3 มากที่สุด เพราะเชื่อว่าหากเราสร้าง "Playground" ที่ดีได้ อีก 2 ข้อที่เหลือจะเกิดขึ้นตามมาเองโดยธรรมชาติ

Playground ช่วยให้ Junior เติบโตได้อย่างไร?

สภาพแวดล้อมแบบ Playground นี้จะช่วยให้ Junior ค้นพบศักยภาพของตัวเองในหลายๆ ด้าน เช่น:

  • รู้ว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไร: ได้ค้นพบความถนัดและความสามารถที่ซ่อนอยู่
  • รู้ว่าตัวเองยังขาด Skill อะไร: มองเห็นจุดที่ต้องพัฒนาและเรียนรู้เพิ่มเติมได้อย่างชัดเจน
  • รู้ว่าควรเริ่มขอความช่วยเหลืออย่างไร: เรียนรู้วิธีการสื่อสารและขอคำแนะนำเมื่อเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ด้วยตัวเอง

Playground หน้าตาเป็นอย่างไร? และจะสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?

ลองนึกภาพตามในสถานการณ์การประชุม Grooming ของทีมดูนะครับ

สมมติว่ามี Task หนึ่งที่ต้องทำ UI ของฟีเจอร์ใหม่ขึ้นมา ในขั้นตอนการประเมินเวลา (Effort Estimation) แทนที่จะให้ Senior ประเมินเวลาที่ตัวเองทำคนเดียว ให้เราลองแบ่งการประเมินเวลาดังนี้ครับ

  • A Manday ที่ Senior ประเมินว่าตัวเองจะทำเสร็จ
  • B Manday ที่คาดว่า Junior ควรจะทำเสร็จ (อาจจะนานกว่า A)

ถ้าหากเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนี้:

  1. ระยะเวลา [A] + [B] แล้ว ไม่เกิน Deadline ของ Sprint หรือของงานนั้นๆ
  2. มี Senior ในทีมที่ ว่างพอจะให้การสนับสนุน เมื่อ Junior ต้องการความช่วยเหลือหรือทำไม่ทันจริงๆ

นั่นแหละครับ คือสภาวะที่ผมเรียกว่า "Playground" เพราะมันคือพื้นที่ปลอดภัยที่ Junior สามารถลองผิดลองถูกได้เต็มที่ โดยมี Senior คอยเป็นตาข่ายนิรภัย (Safety Net) รองรับอยู่เบื้องหลัง


5 ขั้นตอนการสร้าง Playground ให้เกิดขึ้นจริงในทีม

อยากเริ่มต้นสร้างวัฒนธรรมแบบนี้ใช่ไหมครับ? ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ดูได้เลย

  1. หาจังหวะที่เหมาะสม มองหาช่วงเวลาใน Sprint ที่มีงานไม่แน่นจนเกินไป เพื่อให้ Senior มีเวลาว่างพอที่จะดูแลและให้คำปรึกษาคนอื่นได้
  2. ปล่อยให้ Junior ได้ลงมือทำเอง ให้ Junior เริ่มต้นทำงานนั้นด้วยตัวเองก่อน ให้เขาได้ค้นคว้า ลองผิดลองถูก และเจอปัญหาด้วยตัวเอง นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้
  3. สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัย พยายามสร้าง Environment ที่เมื่อ Junior ทำผิดพลาดแล้ว กล้าที่จะขอคำปรึกษา โดยไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลว่าจะถูกตำหนิ
  4. ชี้แนวทาง ไม่ใช่ลงมือทำให้ เมื่อ Junior มาขอคำปรึกษา พยายามชี้ Direction ในการแก้ปัญหา เช่น "ปัญหานี้น่าจะเกิดจาก... ลองค้นคว้าด้วย keyword คำว่า... ดูนะ" พยายามอย่างยิ่งที่จะ ไม่ลงมือแก้ไขโค้ดให้ เพราะนั่นจะทำให้ Junior ไม่ได้เรียนรู้วิธีคิดในการแก้ปัญหา
  5. มีจุดตัดจบที่ชัดเจน (Cut-off Point) ถ้าหาก Junior ใช้เวลาจนถึง Deadline ที่ประเมินไว้ ( B ) แล้วยังทำไม่เสร็จ ให้ Senior เข้ามาช่วยหรือรับงานมาทำต่อทันทีเพื่อให้งานปิดได้ตามแผน หลังจากนั้นค่อยหาเวลามานั่ง Mentor กันว่าปัญหาเกิดจากอะไร และครั้งหน้าควรจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร

รับมือกับข้ออ้างยอดฮิต: "ไม่มีเวลา Mentor Junior"

นี่เป็นปัญหาคลาสสิกที่หลายทีมเจอ วิธีแก้ไขอาจต้องมองในภาพที่ใหญ่ขึ้นครับ

  • ปรับแก้ Expectation ของทีมและ Manager: สื่อสารให้เห็นตรงกันว่าการพัฒนาคนคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จของทีม ไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จไปวันๆ
  • ปรับวิธีการ Planning: ในการวางแผนงานแต่ละ Sprint ควรแบ่งเวลาและทรัพยากรส่วนหนึ่งไว้สำหรับการพัฒนาทีมด้วย
  • สื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ: ทำให้ทั้งทีมเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนา Junior ว่านี่คือการลงทุนเพื่อความสำเร็จของทีมในระยะยาว

ไว้โอกาสหน้าจะมาเล่า Case Study ที่เคยทำสำเร็จให้ฟังนะครับ ฝากติดตามกันด้วยครับ!

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจจะสนใจ

E-Book People Skill for Dev

©2025 Achi Innovation Co., Ltd. All Rights Reserved.